
สวัสดีครับทุกท่าน
ครั้งนี้คือหัวข้อ "ความยุติธรรม"
ในความเห็นของคนทุกคนจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ แต่...
ในความเห็นของผมนั้น ความยุติธรรม ไม่มีอยู่จริงหรอกครับ (ถ้าไม่นับกฎแห่งกรรมนะ)
เพราะเมื่อเราเกิดมานั้น เราก็ไม่เท่าเทียมกันแล้ว
บางคนหล่อ บางคนสวย บางคนหน้าตาดูไม่ได้ก็มี จริงมั้ยล่ะครับ
บางคนเกิดมารวย สบาย บางคนจน ลำบาก
บางคนหัวดีเรียนเก่ง บางคนเรียนไม่เก่ง
เนื่องจากมันมีความเหลื่อมล้ำกันทางสังคมมาแต่แรกแล้ว
คนเราจึงได้เรียกร้องหาสิ่งที่เรียกว่า "ความยุติธรรม" ขึ้น เพื่อลบช่องว่างเหล่านั้นลง
แต่ในความเป็นจริงแล้วตามความเห็นของผม มันก็เป็นแค่การเรียกร้องเอาผลประโยชน์ที่คนอื่นได้
แต่ตัวเองไม่ได้เท่านั้นเอง ความยุติธรรมที่เป็นกลางจริงๆ สำหรับผมแล้ว ก็คือกฎแห่งกรรม
เพราะผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า
การที่เราเชื่อในพระธรรมของพระพุทธเจ้าทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิตนี้ได้ง่ายขึ้น
กฎแห่งกรรมนั้น กรรม (การกระทำ) ที่ทุกคนทำไป ทุกคนย่อมได้รับผลกรรมนั้น
ไม่มีการตัดกรรมอย่างที่เราเห็นในทีวี ทางเดียวที่เราจะหลีกหนีผลกรรมของเราได้จริงๆ
นั่นคือ นิพพาน ดั่งเช่น องคุลีมาร ที่ทำกรรมไว้เยอะ ตอนบวชเป็นพระแล้วจึงถูกคนขว้างก้อนหินใส่
แต่เมื่อท่านนิพพานลง (ตายด้วย) ก็ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรคนไหนตามไปจองเวรท่านได้
พระท่านหลุดพ้นจากวงจรนี้ไปแล้ว
และการที่คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน บางคน รวย จน หล่อ ขี้เหร่
เป็นเพราะผลกรรมในอดีตที่เราทำมานั่นเอง นั่นจึงเป็นความยุติธรรมที่กฎแห่งกรรมให้เรามา
นั่นคือความคิดเห็นส่วนตัวที่เอามาจากความรู้และประสบการณ์และความศรัทธาของผมเองทั้งหมด
ต่อจากนี้จะกล่าวถึงหลักการของคำว่า "ความยุติธรรม" นะครับ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่เป็นสังคม การที่อยู่ร่วมกันก็ย่อมมีการประพฤติปฏิบัติต่อกันและกัน รวมทั้งมนุษย์แต่ละคนย่อมมีแนวปฏิบัติของตนเองว่า จะกระทำอะไร อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร โดยธรรมชาติมนุษย์มีแนวโน้มที่จะใฝ่หาความสุข ความสบาย หลีกหนีความทุกข์ยาก ความลำบาก และโดยธรรมชาติมนุษย์อาจจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเลวร้ายหรืออย่างเอารัดเอาเปรียบ หากว่าตนเองจะได้รับประโยชน์หรือความสุขความสบายเป็นเครื่องตอบแทนถ้าทุกคนปฏิบัติเช่นนั้นสังคมก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดแล้วก็คงไม่มีใครที่จะอยู่ได้อย่างสุขสงบ
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฏเกณฑ์ร่วมกัน การที่จะให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของตนเองและไม่เบียดเบียนตนเอง ตนก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตนเองอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นต่อผู้อื่น
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฏเกณฑ์ร่วมกัน การที่จะให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของตนเองและไม่เบียดเบียนตนเอง ตนก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตนเองอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นต่อผู้อื่น
ปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณเช่น โสเครตีส เพลโต และอริสโตเติ้ลต่างก็พยายามหาคำตอบที่ว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต? ความดีคืออะไร? และมนุษย์ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร? เอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าดี? ความดีนั้นเป็นสากลหรือไม่ หรือความดีจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคมแต่ละยุคสมัย? ความยุติธรรมคืออะไรและใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน?
ความยุติธรรมเป็นแม่แบบของแนวทางต่างๆ เป็นแนวทางในเกณฑ์การตัดสิน ซึ่งมีกฏหมายเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ ความยุติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดเพราะการที่คนเราจะกำหนดว่าอะไรคือความดี แล้วความดีกับความชั่วต่างกันตรงไหนเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันอย่างละเอียด
โสเครตีสเชื่อว่าถ้าเราไม่สามารถหาคำนิยามของคุณธรรมเหล่านี้ได้ เราก็จะไม่สามารถมีความรู้เกี่ยวกับคุณธรรมได้ และการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งมีความยุติธรรม หรือกล้าหาญ ฯลฯ หรือไม่ ย่อมปราศจากหลักเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ
ตัวอย่างนะครับ เช่น ถ้าเรามีน้องชายกับน้องสาวคนเล็ก เราซื้อเค้กมาให้น้องๆ
แต่ตัดชิ้นใหญ่กว่าให้น้องสาวเพราะเห็นว่าน้องเป็นผู้หญิงและก็เด็กกว่าน้องชาย
แต่น้องชายทักท้วงว่า พี่ไม่ยุติธรรม ต้องตัดให้เท่ากันครึ่งๆสิ
แบบนี้ ความยุติธรรมที่แท้จริงอยู่ตรงไหน สำหรับน้องชายเขาต้องการได้เท่ากันกับน้องสาว
แต่สำหรับน้องสาวการได้เยอะกว่านั้นยุติธรรมดีแล้ว หรือความยุติธรรมก็คือเรื่องของผลประโยชน์?
อริสโตเติ้ลกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องเลือกเองว่าจะทำอะไรซึ่งดีสำหรับตนเอง และในขณะเดียวกันก็ดีสำหรับผู้อื่นด้วย ในการเลือกต้องใช้หลักของคุณธรรมมากกว่าที่เลือกตามความพอใจของตนเอง คุณธรรมสามประการที่อริสโตเติ้ลเน้นได้แก่
temperance (การรู้จักควบคุมตน, การข่มใจ,การรู้จักพอ),
courage (ความกล้าหาญ) ความกล้าหาญคือการเลือกตัดสินใจด้วยเหตุผลถึงแม้จะตระหนักถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้า ผู้ที่มีความกล้าหาญไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความกลัว แต่เลือกกระทำด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กระทำคือความถูกต้อง ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นขาดการไตร่ตรองด้วยปัญญา
justice (ความยุติธรรม) นั่นคือมนุษย์ทุกคนควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง
temperance (การรู้จักควบคุมตน, การข่มใจ,การรู้จักพอ),
courage (ความกล้าหาญ) ความกล้าหาญคือการเลือกตัดสินใจด้วยเหตุผลถึงแม้จะตระหนักถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้า ผู้ที่มีความกล้าหาญไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความกลัว แต่เลือกกระทำด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กระทำคือความถูกต้อง ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นขาดการไตร่ตรองด้วยปัญญา
justice (ความยุติธรรม) นั่นคือมนุษย์ทุกคนควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง
ซึ่งผมคิดว่ามันก็คือ "การเอาใจเขามาใส่ใจเรา" นั่นเอง
ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ ? ความยุติธรรมนั้นเมื่อเราแยกจากหมวดหมู่ของคำ ก็จะรู้ว่า คำว่าความยุติธรรมนั้น เป็นนามธรรม(abstract noun) คือไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ ตามหลักวิทยาศาสตร์จะขออธิบายดังนี้ ความยุติธรรมนั้นจับต้องไม่ได้ ความยุติธรรมมีจริงเพราะเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่ข้อยุติของปัญหานั้นๆ ความยุติธรรมสัมผัสได้ แต่สัมผัสได้ด้วยใจ(mind)เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะว่าจิตใจ (mental) ของคนเราไม่เหมือนกัน
ที่อ้าวว่าความยุติธรรมมีจริงในย่อหน้านี้ เขาตัดสินจากว่าเพราะมนุษย์เป็นผู้กำหนด เป็นผู้สร้างความยุติธรรมขึ้น
แต่ตามทัศนะของผม คือคำว่าความยุติธรรมจริงๆนั้นไม่มี (มีแต่กฎห่งกรรม) เพราะ ความยุติธรรมที่แท้จริงคือเป็นกลางจริงๆนั้นไม่มี ทุกคนกำหนดกฎเกณท์เพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น
มีเพียงสิ่งเดียวที่เราทุกคนอยู่ภายใต้กฎนั้นอย่างยุติธรรมที่สุดก็คือ กฎแห่งกรรม
(อย่าว่ากันเลยนะครับที่ผมเชื่อแบบนี้ ก็ผมเป็นชาวพุทธนี่นา)
อย่างไรก็ขอทุกท่านเชิญวิจารณ์กันได้ตามใจเลยนะครับ
ขอบคุณครับผม
ความยุติธรรมที่แท้จริงสำหรับผมมันมีจริงครับ
ตอบลบสำหรับบางคนไม่มีจริง
และที่สำคัญบางคนละเลยมัน ไอ้คนประเภทนี้นี่แหละครับที่สร้างปัญหาที่สุด
...
...
ถึงความยุติธรรมจะมีอยู่หรือไม่ มันไม่สำคัญหรอกครับ แต่สำคัญที่ว่าเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งต้องมีธรรม นั่นละครับคำตอบแห่งชีวิต...
...
...
แต่......
ริว...
ตอบลบความยุติธรรม..อาจไม่มีอยู่จริง อย่างที่ริวนำเสนอไว้
แต่...ความยุติธรรม เพราะริวฝึกฝน นำเสนอ บ่อย ๆ เข้า
เชื่อมั่นว่า โอกาส...ความสำเร็จ และนั่นอาจจะเรียกรวบรัดเอาว่าความยุติธรรม..อาจจะเข้ามาสู่ชีวิตริวจริง ๆ ซักวัน
เอาใจช่วย...
อาจารย์แรก