
สังคมและการเมืองในอุดมคติ
สำหรับบทความในครั้งนี้ จะเป็นการกล่าวถึงสังคมการเมืองในอุดมคติ วิวัฒนาการและสาระน่ารู้ต่างๆ
ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เยี่ยมชมทุกท่าน
ถ้าเช่นนั้นเรามาอ่านบทความกันเลย!
ระบบการเมืองในอุดมคติซึ่งรวมถึงระบบสังคมในอุดมคติ เป็นสิ่งซึ่งนักปรัชญาทางการเมืองพยายามค้นหาและเสนอเป็นความคิดมาเป็นพันๆ ปี นักคิดในอดีต เช่น ขงจื๊อ เล่าจื๊อ เม่งจื๊อ เพลโต อริสโตเติล ล็อค รุสโซ ฯลฯ ต่างพยายามเสนอความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับระบบการเมืองในอุดมคติ
คาร์ล มาร์กซ์ ปรมาจารย์ทางลัทธิมาร์กซิสม์ได้ทำนายถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ในลักษณะเส้นตรง เริ่มต้นจากสังคมคอมมิวนิสต์ปฐมภูมิซึ่งวิวัฒนาการไปสู่สังคมทาส ฟิวดัล ทุนนิยม และในที่สุดก็จะกลายเป็นสังคมนิยมซึ่งจะเป็นขั้นสุดท้ายของวิวัฒนาการ คำทำนายของมาร์กซ์ถูกท้าทายโดยนักวิชาการสมัยใหม่คือ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า ซึ่งกล่าวว่าประวัติศาสตร์มาถึงที่สิ้นสุดแล้ว (the end of history) ซึ่งหมายความว่าประชาธิปไตยและระบบทุนนิยมน่าจะเป็นระบบสุดท้ายของมนุษยชาติ
นี่คือความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับข้อถกเถียงของฟูกูยาม่า เมื่อมีการพูดถึงระบบการเมืองในอุดมคติซึ่งจะนำไปสู่สังคมในอุดมคติด้วยนั้น ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นถึงการสร้างระบบที่จะนำมาซึ่งความเสมอภาคระหว่างมวลสมาชิก โดยมวลสมาชิกจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีการประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในฐานะประชาชน ความพยายามที่จะค้นหาระบบดังกล่าวนี้ยังดำเนินมาถึงปัจจุบัน และแม้ประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ก็ยังต้องพยายามปรับปรุงระบบของตนด้วยการปฏิรูป เพราะไม่มีระบบใดมีลักษณะสมบูรณ์แบบ และเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ยังมีการละเมิดกฎหมาย มีการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ดังนั้น จึงมีความจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและระบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการปฏิบัติงานเป็นครั้งคราว ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบการเมืองในอุดมคติซึ่งจะนำไปสู่สังคมในอุดมคตินั้น
ในเบื้องต้นจะต้องเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความเป็นจริง มิฉะนั้นจะกลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ตัวอย่างเช่น การพูดถึงความเสมอภาคอย่างสมบูรณ์แบบในระบบคอมมิวนิสต์นั้น ก็คือการที่ดึงให้ทุกคนมีความยากจนเท่าเทียมกันหมด และในขณะเดียวกันผู้กุมอำนาจรัฐก็มิได้เสมอภาคกับผู้ใช้แรงงานและชาวนา ดังนั้น สังคมที่มีความเสมอภาคจะต้องเป็นสังคมที่พูดถึงความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย และความเสมอภาคทางการเมือง มิใช่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจหรือฐานะทางสังคมวัดตามความสามารถ
ถ้า นาย ก. ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่นาย ข. ทำงานวันละ 2 ชั่วโมง ในลักษณะงานเดียวกันจะให้มีความเสมอภาคในแง่รายได้ย่อมเป็นความไม่ยุติธรรม หรือ นาย ก. มีสติปัญญาดีกว่า ศึกษาจนจบวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตจะให้มีฐานะทางสังคม ตำแหน่งงาน และรายได้ เท่ากับ นาย ข. ซึ่งจบเพียง ป.6 คงเป็นเรื่องผิดปกติดังนั้น ระบบการเมืองและสังคมในอุดมคติจะต้องคำนึงถึงความเป็นจริง และความรู้สึกของมนุษย์ในเรื่องความยุติธรรม
นอกเหนือจากนั้นจะต้องคำนึงถึงสิ่งชั่วช้าสองประการที่อยู่ในสังคมที่ไม่ดี ซึ่งได้แก่ ความเขลาและความจน ความเขลาและความจนคือความชั่วแฝดที่จะต้องขจัดให้สิ้นไปจากสังคมอุดมคติ คนที่ไร้การศึกษาก็ย่อมจะมีความเขลา รายได้ย่อมไม่ดี ก็จะนำไปสู่ความยากจนทำให้โอกาสการศึกษาเล่าเรียนมีน้อยก็จะนำไปสู่ความเขลา และผลสุดท้ายชีวิตก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ของความเขลาและความจน
สังคมในอุดมคติที่น่าจะเสนอก็คือ สังคมที่ดีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ คือประการแรก สังคมนั้นจะต้องเป็นสังคมซึ่งคนซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ คนๆ นั้นต้องสามารถที่จะยืนตัวตรงไม่ต้องก้มหัวให้ใคร มีความภูมิใจในวัฒนธรรมและมรดกของประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันก็พอใจกับสภาวะที่เป็นอยู่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นั้นแม้จะมีฐานะเศรษฐกิจต่ำสุดต้องมีปัจจัยสี่อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ซึ่งได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคประการที่สอง สิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นจะต้องมีการประกันโดยรัฐธรรมนุญและการบังคับกฎหมาย กล่าวคือ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชาติกำเนิด เพศและศาสนาใด ต้องได้รับความคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญอย่างเท่าเทียมกัน
ในกรณีของประเทศไทยนั้นได้แก่ รัฐธรรมนูญมาตรา 5 มาตรา 30 มาตรา 27 และมาตรา 28 รวมตลอดทั้งมาตรา 4 และมาตรา 26 ประการที่สาม บุคคลผู้นั้นและลูกหลานของบุคคลผู้นั้นต้องมีโอกาสขยับชั้นทางสังคม เปลี่ยนฐานะจากต่ำไปสู่สูงโดยมีโอกาสเท่าเทียมกันกับคนอื่นในการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งต้องจัดให้มีขึ้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในกรณีนี้รัฐธรรมนูญมาตรา 43 ได้ระบุไว้ว่าบุคคลมีสิทธิรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประเด็นสำคัญก็คือโอกาสที่เท่าเทียมกันที่จะได้รับการศึกษา และจากการศึกษาก็จะนำไปสู่การทำลายความเขลาซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการประกอบอาชีพที่ดีกว่าเดิม ทำให้ฐานะเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีส่วนบรรเทาความยากจนลงในที่สุดจากสังคมในอุดมคติดังกล่าวมาแล้วนั้น ก็มีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมจากนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน เช่น ในกรณีบ้านเอื้ออาทร และ 30 บาทรักษาทุกโรค และความพยายามยกฐานะของประชาชนให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้าน มีกองทุนหมู่บ้าน การส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้นยังมีนโยบายที่จะให้งบประมาณกับหมู่บ้านในการพัฒนาหมู่บ้าน รวมตลอดทั้งการศึกษา 12 ปี ตามมาตรา 43 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ถือได้ว่าเป็นความพยายามในขั้นเริ่มต้นที่จะนำไปสู่สังคมในอุดมคติ ในการกระจายอำนาจตามมาตรา 78 มาตรา 282-290 รวมทั้งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งนายก อบจ. นายก อบต. นายกเทศมนตรีและเทศบาลโดยตรงตามพระราชบัญญัติฉบับล่าสุด ทำให้เกิดการไหลเข้าสู่กระบวนการปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยการเลือกตั้งโดยตรงอย่างพลวัต ซึ่งได้แก่ 7000 กว่า อบต. กว่า 1000 เทศบาล และ 75 อบจ. 1 กทม. 1 พัทยา ทั้งหลายทั่งปวงดังกล่าวนี้ทำให้เกิดข้อคิดขึ้นว่า หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นน่าจะรวมตัวกันถกคิดการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเพื่อให้สามารถผลิตวัสดุที่จะสอดคล้องกับปัจจัย 4 ที่กล่าวถึง อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และโรงพยาบาลในจังหวัด
ในส่วนของการศึกษานั้น ในขณะที่ฝ่ายรัฐมีภารกิจในการจัดการศึกษาให้กับประชาชน ศึกษาเล่าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 12 ปี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจะต่อยอดนโยบายดังกล่าวได้ด้วยการจัดให้มีวิทยาลัยชุมชน 2 ปี โดยผู้ศึกษาจบจะได้ระดับอนุปริญญา ซึ่งหมายความว่าถ้ามีความสามารถก็สามารถศึกษาต่ออีก 2 ปี ด้วยเงินทุนส่วนตัวจนจบปริญญาตรี แต่ถ้าหยุดอยู่แค่อนุปริญญาตรีก็หมายความว่าบุคคลผู้นั้นและลูกหลานของบุคคลผู้นั้นจะมีโอกาสศึกษาเล่าเรียน 14 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีก็น่าจะมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนเพื่อการประกอบอาชีพเพิ่มรายได้ และยกฐานะทางสังคมให้สูงขึ้นระบบการเมืองในอุดมคติและสังคมในอุดมคติโดยมีคุณลักษณะ 3 ข้อใหญ่ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะมีส่วนทำให้ความชั่วแฝดอันได้แก่ความเขลาและความจนหายไปจากสังคม และจะนำไปสู่การพัฒนาระบบการเมืองและสังคมซึ่งจะสอดคล้องกับระบบการเมืองในอุดมคติ และสังคมในอุดมคติตามที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น
สำหรับบทความนี้จะมีการเน้นหนักไปในทางข้อกฎหมายที่น่ารู้เกี่ยวกับสังคมของไทย
ถึงอาจจะดูน่าเบื่อแต่ผมก็ไม่ต้องการจะตัดทิ้ง เพราะผู้ที่ชอบในวิชาการอย่างท่านม่อนอาจจะต้องการทราบก็เป็นได้
อย่างไรก็ขอเชิญทุกท่านร่วมใจกันเม้นท์ด้วยนะครับ สวัสดี
อุดมคติของคน่สวนใหญ่เค้าเชื่อว่า
ตอบลบต้องการผู้นำที่ดีและช่วยให้พวกเขามีความเป็นอยู๋ที่ดีเป็นแน่
ยกมาตรทางกฎหมายมาอ้างอิง
ตอบลบสุดๆ อ่าคร่าา
สุดท้ายก็ต้องมอบความรู้ให้ประชาชนให้ขาดจากความเขลาก่อนชิมิ
ตาจะได้สว่าง
ดูหนักแน่นในเนื้อหาดียกมาตรากันมาเลยทีเดียว
ตอบลบชอบตรง"แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นั้นแม้จะมีฐานะเศรษฐกิจต่ำสุดต้องมีปัจจัยสี่อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ซึ่งได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค"
ปัจจัยสี่อย่างนี้ถือเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์
ว่าไปเรื่องพวกนี้จำเป็นกับทุกชีวิต
บวกการพัฒนาก็ต้องเรื่องการศึกษาและจริยธรรม
ชอบๆ
ตอบลบ"มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์"
แต่ปัจจุบันนี้ช่องว่างระหว่างครรวยจำนวนน้อยกับคนจนจำนวนมากมันเห็นชัดขึ้นทุกวัน
ไอ่ที่รวยก็รวยๆไม่รู้จะเอาตังไปทำไรดี
ไอ่ที่จนก็จนๆไม่มีจะกิน
เฮ้ออออ