วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม+การเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย


สวัสดีทุกท่าน นี่คงเป็นบทความสุดท้ายในวิชานี้

และก็ไม่ทราบว่าบล็อกนี้จะยังคงเป็นบล็อกวิชาการต่อไปอีกหรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม เรามาสนใจกับบทความต่อไปนี้กันดีกว่า


ดร.ปรีดี พนมยงค์ ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ที่เป็นผู้ก่อร่างระบอบสังคมและการเมืองแบบใหม่ในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้นำสายพลเรือนของคณะราษฎร และเป็นผู้เตรียมการทั้งหมดในด้านการบริหารระบอบใหม่ ในการปฏิวัติ ๒๔๗๕ นอกจากนี้ ยังเป็นบุคคลสำคัญ ในการวางรากฐานระบอบการคลังสมัยใหม่ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการเจรจากับต่างประเทศให้ประเทศสยามได้เอกราชสมบูรณ์ และต่อมาเมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นเข้ายึดประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ ก็ยังเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่นและมีส่วนทำให้ประเทศไทยพ้นจากการยึดครองโดยตรงของฝ่ายพันธมิตร แม้ว่า ปรีดี พนมยงค์ จะสร้างประโยชน์ ให้กับประเทศชาติอย่างมากเช่นนี้ แต่ในที่สุด กลับถูกใส่ร้ายป้ายสีจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ในข้อหาสำคัญ คือ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙


ดร.ปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ในเรือนแพ หน้าวัดพนมยงค์ อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นลูกคนที่สอง ของนายเสียง ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว มารดาชื่อนางจันทน์ สืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ "ประยงค์" ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดห่างจากกำแพงพระราชวังด้านตะวันตกชื่อ วัดนมยงค์ หรือ "พนมยงค์" เมื่อมีการประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ ครอบครัวนี้จึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์"


ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ปารีสท่านปรีดี พนมยงค์ ได้เริ่มคิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยในระยะแรก ท่านได้สนทนากับเพื่อนสนิท คือ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งเป็นอดีตนายทหารมหาดเล็กของรัชกาลที่ ๖ และเดินทางไปศึกษาวิชารัฐศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส การเริ่มคิดการน่าจะเป็นวันหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งปรีดี และ ร.ท.ประยูร ได้สนทนากันในเรื่องปัญหา ของประเทศไทย และทั้งสองคนมีความเห็นตรงกันว่า จะต้องก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น จึงได้ชักชวนให้ ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ นักเรียนทหารปืนใหญ่เข้าร่วมด้วย ต่อมา ได้รวบรวมนักเรียนไทยในยุโรป ๗ คน เปิดประชุมครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (ปฏิทินเก่า ถ้าเป็นปฏิทิน ปัจจุบันจะเป็น พ.ศ. ๒๔๖๙) ซึ่งถือเป็นการก่อตั้งคณะราษฎรอย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้น กลุ่มนักเรียนนอกเหล่านี้ได้กลับมายังประเทศไทย และรับราชการ ปรีดี พนมยงค์ รับราชการในกรมร่างกฏหมาย กระทรวงยุติธรรม และได้รับบรรดาศักดิ์เป็น หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ส่วน ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ ได้เลื่อนเป็น พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม แต่การคิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังไม่มีโอกาสในการดำเนินการ เพราะมีกำลังไม่เพียงพอ จนเมื่อ ประยูร ภมรมนตรี สามารถชักชวนทหารชั้นผู้ใหญ่มาเข้าร่วมอันได้แก่
๑. พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน) รองจเรทหารบก ๒. พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการโรงเรียนนายร้อย ๓. พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) ผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ที่ ๑ ๔. พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ผู้อำนวยการแผนกโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
ดังนั้น กลุ่มคณะราษฎรจึงลงมือดำเนินการยึดอำนาจ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา รับเป็นหัวหน้าคณะ พ.อ.พระยาทรงสุรเดชเป็นรองหัวหน้าคณะและเป็นผู้วางแผนการยึดอำนาจ หลวงประดิษฐมนูธรรมรับเป็นหัวหน้าสายพลเรือน เป็นผู้รับผิดชอบ ในการร่างแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง และเป็นผู้ดูแลการบริหาร ราชการหลังการปฏิวัติ และในที่สุดการปฏิวัติก็ประสบผลสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยอมรับเงื่อนไขของคณะราษฎร ที่จะให้มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ และจำกัดอำนาจการบริหารของพระมหากษัตริย์ และให้มีรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุด
หลังจากการปฏิวัติ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนชุดแรก นอกจากนี้ ยังได้รับตำแหน่งเลขาธิการรัฐสภา นอกจากนี้ ยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการราษฎร และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย ปรากฏว่า รัฐธรรมนูญฉบับถาวรร่างเสร็จ และประกาศใช้ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามหลักการของรัฐธรรมนูญนี้ ได้กำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติ มีสภาผู้แทนราษฏรเพียงสภาเดียวโดยมีสมาชิก ๒ ประเภท และมีคณะรัฐมนตรีบริหารประเทศ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาประเภทที่ ๒ และเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วย
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (ปฏิทินเก่า ถ้าคิดเป็นปีปัจจุบัน คือ พ.ศ. ๒๔๗๖) หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อที่จะใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ปรากฏว่าเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ได้ถูกคัดค้านอย่างหนักจากฝ่ายของพระยามโนปกรณ์นิติธาดานายกรัฐมนตรี และเหตุการณ์ขยายตัวจากการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยโจมตีว่ามีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ กรณีนี้ นำมาซึ่งการที่ รัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราในวันขึ้นปีใหม่ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำรัฐประหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเปิดโอกาสให้รัฐบาลออกกฎหมายบังคับใช้โดยไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และทำให้อำนาจสมบูรณ์อยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี จากนั้น ในวันต่อมา รัฐบาลก็ได้ออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ .๒๔๗๖ เพื่อที่จะใช้เล่นงานหลวงประดิษฐ์มนูธรรมว่า มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ดังนั้น รัฐบาลจึงจัดการให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เดินทางออกจากประเทศสยามไปยังประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน
ต่อมา พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ร่วมด้วย พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม และ น.ท.หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) ก่อการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เพื่อที่จะรื้อฟื้นการใช้รัฐธรรมนูญ และเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในครั้งนี้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เรียกหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับประเทศ เพื่อรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ต่อมาหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง หลวงประดิษฐ์ฯก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปกครอง ท้องถิ่นตามแบบประชาธิปไตย โดยให้มีการเลือกตั้งเทศบาลทั่วประเทศ นอกจากนี้ ก็คือ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อเป็นตลาดวิชา ให้ความรู้ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแก่ประชาชน จากนั้น หลวงประดิษฐมนูธรรม ก็ได้รับตำแหน่งผู้ประศาสน์การ (อธิการบดี) คนแรกของมหาวิทยาลัยฯ

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยบริหารด้วยรัฐบาลพลเรือน ที่มีแนวโน้มประชาธิปไตยอย่างมาก ปรีดี พนมยงค์ ได้รับการยกย่องเป็นรัฐบุรุษ และอยู่ในฐานะผู้ที่มีบทบาททางการเมือง จนกระทั่งวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง ในระบบรัฐสภา โดยมีพรรคการเมืองที่สนับสนุนคือ พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ และ พรรคอิสระ ปรากฏว่า ในระหว่างที่ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นี้เอง ได้เกิดเหตุร้ายเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน นายปรีดีและคณะรัฐมนตรี ได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาว่า ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ ควรได้แก่สมเด็จพระอนุชา เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว เจ้าฟ้าภูมิพล ก็ได้ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๙
เหตุการณ์นี้ ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งก็คือพวกอนุรักษ์นิยมเจ้า และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน สบโอกาสในการทำลายนายปรีดี ทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ ร้านกาแฟ และสถานที่ต่างๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ ว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ซึ่งเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก กลายเป็นกระแสข่าวลือ และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคแนวรัฐธรรมนูญ ก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ต่อมา เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะรัฐประหารซึ่งประกอบ ด้วย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พ.อ.กาจ กาจสงคราม พ.อ.เผ่า ศรียานนท์ พ.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ และพยายามจับกุม ตัวปรีดี พนมยงค์ แต่ท่านทราบข่าวก่อนเพียงไม่กี่นาที จึงหนีทัน และต่อมาได้ลี้ภัยการเมืองไปยังบริติชมลายา จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านได้พยายามกลับมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจคืน แต่ประสบความพ่ายแพ้ จากนั้นได้ลี้ภัยต่อไปอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วได้พำนัก อยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง ๒๑ ปี ก่อนจะลี้ภัยต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. ๒๕๑๓


เอาล่ะ ประวัติของท่านคงกล่าวถึงเพียงเท่านี้

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สามารถไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ไม่ยาก

เราจึงมากล่าวถึงการวิเคราะห์ใส่ไข่ใส่ความคิดเห็นกันดีกว่า



ปรีดี พนมยงค์ มีบทบาทสำคัญอย่างมากในสังคมไทยทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ ปรีดี พนมยงค์นั้นเป็นบุคคลที่ถูกให้ภาพลักษณ์ทั้งที่ดี และไม่ดี เนื่องมาจากอุดมการณ์ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆไม่สอดคล้องกับแนวคิดของท่าน ปรีดี พนมยงค์เป็นนักเรียนกฎหมายที่เก่งและมีประสบการณ์มากมายในต่างประเทศ และผู้ที่ได้นำเอาวิทยาการที่มีความก้าวหน้ามาปรับใช้ในสังคมไทยอย่างมากมาย
ปรีดี พนมยงค์ ได้ร่วมกับกลุ่มคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้สังคมไทยต้องก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมและสถาบันกษัตริย์ทำให้กลุ่มดังกล่าวพยายามหาแนวทางที่จะกำจัดปรีดี ออกไปจากสังคม โดยใช้วาทกรรมชุดต่างๆมาเป็นเครื่องมือ ซึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ปรีดีถูกมองว่าเป็นปีศาจ คือ กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ทำให้เขาต้องออกจากประเทศแต่ก็กลับมามีบทบาททางสังคมหลายครั้ง เช่น ขบวนการเสรีไทย และอื่นๆ



แต่ไม่ว่ายังไงก็ถือว่าท่านได้สร้างประโยชน์มากมายต่อประเทศ

ถ้าจะใส่ไข่ไปก็จะออกแนวเข้าข้างท่านมากกว่า

แต่เนื่องจากเราไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแท้จริงร้อยเปอร์เซ็น

ฉะนั้นจึงไม่กล้าจะกล่าวอะไรมาก


อย่างไรก็ดี สังคมการเมืองไทยและการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยทุกวันนี้

ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่มองตากันเราก็คงจะเข้าใจความรู้สึกกันแล้ว จริงไหมจ๊ะ


เจริญสุขสวัสดี...จ้า

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Justice


สวัสดีครับทุกท่าน


ครั้งนี้คือหัวข้อ "ความยุติธรรม"


ในความเห็นของคนทุกคนจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ แต่...

ในความเห็นของผมนั้น ความยุติธรรม ไม่มีอยู่จริงหรอกครับ (ถ้าไม่นับกฎแห่งกรรมนะ)

เพราะเมื่อเราเกิดมานั้น เราก็ไม่เท่าเทียมกันแล้ว

บางคนหล่อ บางคนสวย บางคนหน้าตาดูไม่ได้ก็มี จริงมั้ยล่ะครับ

บางคนเกิดมารวย สบาย บางคนจน ลำบาก

บางคนหัวดีเรียนเก่ง บางคนเรียนไม่เก่ง

เนื่องจากมันมีความเหลื่อมล้ำกันทางสังคมมาแต่แรกแล้ว

คนเราจึงได้เรียกร้องหาสิ่งที่เรียกว่า "ความยุติธรรม" ขึ้น เพื่อลบช่องว่างเหล่านั้นลง

แต่ในความเป็นจริงแล้วตามความเห็นของผม มันก็เป็นแค่การเรียกร้องเอาผลประโยชน์ที่คนอื่นได้

แต่ตัวเองไม่ได้เท่านั้นเอง ความยุติธรรมที่เป็นกลางจริงๆ สำหรับผมแล้ว ก็คือกฎแห่งกรรม

เพราะผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า


การที่เราเชื่อในพระธรรมของพระพุทธเจ้าทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิตนี้ได้ง่ายขึ้น

กฎแห่งกรรมนั้น กรรม (การกระทำ) ที่ทุกคนทำไป ทุกคนย่อมได้รับผลกรรมนั้น

ไม่มีการตัดกรรมอย่างที่เราเห็นในทีวี ทางเดียวที่เราจะหลีกหนีผลกรรมของเราได้จริงๆ

นั่นคือ นิพพาน ดั่งเช่น องคุลีมาร ที่ทำกรรมไว้เยอะ ตอนบวชเป็นพระแล้วจึงถูกคนขว้างก้อนหินใส่

แต่เมื่อท่านนิพพานลง (ตายด้วย) ก็ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรคนไหนตามไปจองเวรท่านได้

พระท่านหลุดพ้นจากวงจรนี้ไปแล้ว


และการที่คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน บางคน รวย จน หล่อ ขี้เหร่

เป็นเพราะผลกรรมในอดีตที่เราทำมานั่นเอง นั่นจึงเป็นความยุติธรรมที่กฎแห่งกรรมให้เรามา


นั่นคือความคิดเห็นส่วนตัวที่เอามาจากความรู้และประสบการณ์และความศรัทธาของผมเองทั้งหมด

ต่อจากนี้จะกล่าวถึงหลักการของคำว่า "ความยุติธรรม" นะครับ


มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่เป็นสังคม การที่อยู่ร่วมกันก็ย่อมมีการประพฤติปฏิบัติต่อกันและกัน รวมทั้งมนุษย์แต่ละคนย่อมมีแนวปฏิบัติของตนเองว่า จะกระทำอะไร อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร โดยธรรมชาติมนุษย์มีแนวโน้มที่จะใฝ่หาความสุข ความสบาย หลีกหนีความทุกข์ยาก ความลำบาก และโดยธรรมชาติมนุษย์อาจจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเลวร้ายหรืออย่างเอารัดเอาเปรียบ หากว่าตนเองจะได้รับประโยชน์หรือความสุขความสบายเป็นเครื่องตอบแทนถ้าทุกคนปฏิบัติเช่นนั้นสังคมก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดแล้วก็คงไม่มีใครที่จะอยู่ได้อย่างสุขสงบ
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฏเกณฑ์ร่วมกัน การที่จะให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของตนเองและไม่เบียดเบียนตนเอง ตนก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตนเองอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นต่อผู้อื่น


ปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณเช่น โสเครตีส เพลโต และอริสโตเติ้ลต่างก็พยายามหาคำตอบที่ว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต? ความดีคืออะไร? และมนุษย์ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร? เอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าดี? ความดีนั้นเป็นสากลหรือไม่ หรือความดีจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคมแต่ละยุคสมัย? ความยุติธรรมคืออะไรและใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน?

ความยุติธรรมเป็นแม่แบบของแนวทางต่างๆ เป็นแนวทางในเกณฑ์การตัดสิน ซึ่งมีกฏหมายเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ ความยุติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดเพราะการที่คนเราจะกำหนดว่าอะไรคือความดี แล้วความดีกับความชั่วต่างกันตรงไหนเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันอย่างละเอียด

โสเครตีสเชื่อว่าถ้าเราไม่สามารถหาคำนิยามของคุณธรรมเหล่านี้ได้ เราก็จะไม่สามารถมีความรู้เกี่ยวกับคุณธรรมได้ และการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งมีความยุติธรรม หรือกล้าหาญ ฯลฯ หรือไม่ ย่อมปราศจากหลักเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ


ตัวอย่างนะครับ เช่น ถ้าเรามีน้องชายกับน้องสาวคนเล็ก เราซื้อเค้กมาให้น้องๆ

แต่ตัดชิ้นใหญ่กว่าให้น้องสาวเพราะเห็นว่าน้องเป็นผู้หญิงและก็เด็กกว่าน้องชาย

แต่น้องชายทักท้วงว่า พี่ไม่ยุติธรรม ต้องตัดให้เท่ากันครึ่งๆสิ

แบบนี้ ความยุติธรรมที่แท้จริงอยู่ตรงไหน สำหรับน้องชายเขาต้องการได้เท่ากันกับน้องสาว

แต่สำหรับน้องสาวการได้เยอะกว่านั้นยุติธรรมดีแล้ว หรือความยุติธรรมก็คือเรื่องของผลประโยชน์?

อริสโตเติ้ลกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องเลือกเองว่าจะทำอะไรซึ่งดีสำหรับตนเอง และในขณะเดียวกันก็ดีสำหรับผู้อื่นด้วย ในการเลือกต้องใช้หลักของคุณธรรมมากกว่าที่เลือกตามความพอใจของตนเอง คุณธรรมสามประการที่อริสโตเติ้ลเน้นได้แก่
temperance (การรู้จักควบคุมตน, การข่มใจ,การรู้จักพอ),
courage (ความกล้าหาญ) ความกล้าหาญคือการเลือกตัดสินใจด้วยเหตุผลถึงแม้จะตระหนักถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้า ผู้ที่มีความกล้าหาญไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความกลัว แต่เลือกกระทำด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กระทำคือความถูกต้อง ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นขาดการไตร่ตรองด้วยปัญญา
justice (ความยุติธรรม) นั่นคือมนุษย์ทุกคนควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง

ซึ่งผมคิดว่ามันก็คือ "การเอาใจเขามาใส่ใจเรา" นั่นเอง



ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ ? ความยุติธรรมนั้นเมื่อเราแยกจากหมวดหมู่ของคำ ก็จะรู้ว่า คำว่าความยุติธรรมนั้น เป็นนามธรรม(abstract noun) คือไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ ตามหลักวิทยาศาสตร์จะขออธิบายดังนี้ ความยุติธรรมนั้นจับต้องไม่ได้ ความยุติธรรมมีจริงเพราะเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่ข้อยุติของปัญหานั้นๆ ความยุติธรรมสัมผัสได้ แต่สัมผัสได้ด้วยใจ(mind)เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะว่าจิตใจ (mental) ของคนเราไม่เหมือนกัน


ที่อ้าวว่าความยุติธรรมมีจริงในย่อหน้านี้ เขาตัดสินจากว่าเพราะมนุษย์เป็นผู้กำหนด เป็นผู้สร้างความยุติธรรมขึ้น

แต่ตามทัศนะของผม คือคำว่าความยุติธรรมจริงๆนั้นไม่มี (มีแต่กฎห่งกรรม) เพราะ ความยุติธรรมที่แท้จริงคือเป็นกลางจริงๆนั้นไม่มี ทุกคนกำหนดกฎเกณท์เพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น

มีเพียงสิ่งเดียวที่เราทุกคนอยู่ภายใต้กฎนั้นอย่างยุติธรรมที่สุดก็คือ กฎแห่งกรรม

(อย่าว่ากันเลยนะครับที่ผมเชื่อแบบนี้ ก็ผมเป็นชาวพุทธนี่นา)


อย่างไรก็ขอทุกท่านเชิญวิจารณ์กันได้ตามใจเลยนะครับ

ขอบคุณครับผม

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สังคมและการเมืองในอุดมคติ


สังคมและการเมืองในอุดมคติ


สำหรับบทความในครั้งนี้ จะเป็นการกล่าวถึงสังคมการเมืองในอุดมคติ วิวัฒนาการและสาระน่ารู้ต่างๆ

ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เยี่ยมชมทุกท่าน


ถ้าเช่นนั้นเรามาอ่านบทความกันเลย!


ระบบการเมืองในอุดมคติซึ่งรวมถึงระบบสังคมในอุดมคติ เป็นสิ่งซึ่งนักปรัชญาทางการเมืองพยายามค้นหาและเสนอเป็นความคิดมาเป็นพันๆ ปี นักคิดในอดีต เช่น ขงจื๊อ เล่าจื๊อ เม่งจื๊อ เพลโต อริสโตเติล ล็อค รุสโซ ฯลฯ ต่างพยายามเสนอความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับระบบการเมืองในอุดมคติ


คาร์ล มาร์กซ์ ปรมาจารย์ทางลัทธิมาร์กซิสม์ได้ทำนายถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ในลักษณะเส้นตรง เริ่มต้นจากสังคมคอมมิวนิสต์ปฐมภูมิซึ่งวิวัฒนาการไปสู่สังคมทาส ฟิวดัล ทุนนิยม และในที่สุดก็จะกลายเป็นสังคมนิยมซึ่งจะเป็นขั้นสุดท้ายของวิวัฒนาการ คำทำนายของมาร์กซ์ถูกท้าทายโดยนักวิชาการสมัยใหม่คือ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า ซึ่งกล่าวว่าประวัติศาสตร์มาถึงที่สิ้นสุดแล้ว (the end of history) ซึ่งหมายความว่าประชาธิปไตยและระบบทุนนิยมน่าจะเป็นระบบสุดท้ายของมนุษยชาติ

นี่คือความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับข้อถกเถียงของฟูกูยาม่า เมื่อมีการพูดถึงระบบการเมืองในอุดมคติซึ่งจะนำไปสู่สังคมในอุดมคติด้วยนั้น ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นถึงการสร้างระบบที่จะนำมาซึ่งความเสมอภาคระหว่างมวลสมาชิก โดยมวลสมาชิกจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีการประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในฐานะประชาชน ความพยายามที่จะค้นหาระบบดังกล่าวนี้ยังดำเนินมาถึงปัจจุบัน และแม้ประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ก็ยังต้องพยายามปรับปรุงระบบของตนด้วยการปฏิรูป เพราะไม่มีระบบใดมีลักษณะสมบูรณ์แบบ และเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ยังมีการละเมิดกฎหมาย มีการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ดังนั้น จึงมีความจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและระบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการปฏิบัติงานเป็นครั้งคราว ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบการเมืองในอุดมคติซึ่งจะนำไปสู่สังคมในอุดมคตินั้น

ในเบื้องต้นจะต้องเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความเป็นจริง มิฉะนั้นจะกลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ตัวอย่างเช่น การพูดถึงความเสมอภาคอย่างสมบูรณ์แบบในระบบคอมมิวนิสต์นั้น ก็คือการที่ดึงให้ทุกคนมีความยากจนเท่าเทียมกันหมด และในขณะเดียวกันผู้กุมอำนาจรัฐก็มิได้เสมอภาคกับผู้ใช้แรงงานและชาวนา ดังนั้น สังคมที่มีความเสมอภาคจะต้องเป็นสังคมที่พูดถึงความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย และความเสมอภาคทางการเมือง มิใช่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจหรือฐานะทางสังคมวัดตามความสามารถ


ถ้า นาย ก. ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่นาย ข. ทำงานวันละ 2 ชั่วโมง ในลักษณะงานเดียวกันจะให้มีความเสมอภาคในแง่รายได้ย่อมเป็นความไม่ยุติธรรม หรือ นาย ก. มีสติปัญญาดีกว่า ศึกษาจนจบวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตจะให้มีฐานะทางสังคม ตำแหน่งงาน และรายได้ เท่ากับ นาย ข. ซึ่งจบเพียง ป.6 คงเป็นเรื่องผิดปกติดังนั้น ระบบการเมืองและสังคมในอุดมคติจะต้องคำนึงถึงความเป็นจริง และความรู้สึกของมนุษย์ในเรื่องความยุติธรรม


นอกเหนือจากนั้นจะต้องคำนึงถึงสิ่งชั่วช้าสองประการที่อยู่ในสังคมที่ไม่ดี ซึ่งได้แก่ ความเขลาและความจน ความเขลาและความจนคือความชั่วแฝดที่จะต้องขจัดให้สิ้นไปจากสังคมอุดมคติ คนที่ไร้การศึกษาก็ย่อมจะมีความเขลา รายได้ย่อมไม่ดี ก็จะนำไปสู่ความยากจนทำให้โอกาสการศึกษาเล่าเรียนมีน้อยก็จะนำไปสู่ความเขลา และผลสุดท้ายชีวิตก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ของความเขลาและความจน


สังคมในอุดมคติที่น่าจะเสนอก็คือ สังคมที่ดีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ คือประการแรก สังคมนั้นจะต้องเป็นสังคมซึ่งคนซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ คนๆ นั้นต้องสามารถที่จะยืนตัวตรงไม่ต้องก้มหัวให้ใคร มีความภูมิใจในวัฒนธรรมและมรดกของประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันก็พอใจกับสภาวะที่เป็นอยู่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นั้นแม้จะมีฐานะเศรษฐกิจต่ำสุดต้องมีปัจจัยสี่อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ซึ่งได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคประการที่สอง สิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นจะต้องมีการประกันโดยรัฐธรรมนุญและการบังคับกฎหมาย กล่าวคือ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชาติกำเนิด เพศและศาสนาใด ต้องได้รับความคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญอย่างเท่าเทียมกัน


ในกรณีของประเทศไทยนั้นได้แก่ รัฐธรรมนูญมาตรา 5 มาตรา 30 มาตรา 27 และมาตรา 28 รวมตลอดทั้งมาตรา 4 และมาตรา 26 ประการที่สาม บุคคลผู้นั้นและลูกหลานของบุคคลผู้นั้นต้องมีโอกาสขยับชั้นทางสังคม เปลี่ยนฐานะจากต่ำไปสู่สูงโดยมีโอกาสเท่าเทียมกันกับคนอื่นในการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งต้องจัดให้มีขึ้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในกรณีนี้รัฐธรรมนูญมาตรา 43 ได้ระบุไว้ว่าบุคคลมีสิทธิรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประเด็นสำคัญก็คือโอกาสที่เท่าเทียมกันที่จะได้รับการศึกษา และจากการศึกษาก็จะนำไปสู่การทำลายความเขลาซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการประกอบอาชีพที่ดีกว่าเดิม ทำให้ฐานะเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีส่วนบรรเทาความยากจนลงในที่สุดจากสังคมในอุดมคติดังกล่าวมาแล้วนั้น ก็มีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมจากนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน เช่น ในกรณีบ้านเอื้ออาทร และ 30 บาทรักษาทุกโรค และความพยายามยกฐานะของประชาชนให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้าน มีกองทุนหมู่บ้าน การส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้นยังมีนโยบายที่จะให้งบประมาณกับหมู่บ้านในการพัฒนาหมู่บ้าน รวมตลอดทั้งการศึกษา 12 ปี ตามมาตรา 43 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ถือได้ว่าเป็นความพยายามในขั้นเริ่มต้นที่จะนำไปสู่สังคมในอุดมคติ ในการกระจายอำนาจตามมาตรา 78 มาตรา 282-290 รวมทั้งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งนายก อบจ. นายก อบต. นายกเทศมนตรีและเทศบาลโดยตรงตามพระราชบัญญัติฉบับล่าสุด ทำให้เกิดการไหลเข้าสู่กระบวนการปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยการเลือกตั้งโดยตรงอย่างพลวัต ซึ่งได้แก่ 7000 กว่า อบต. กว่า 1000 เทศบาล และ 75 อบจ. 1 กทม. 1 พัทยา ทั้งหลายทั่งปวงดังกล่าวนี้ทำให้เกิดข้อคิดขึ้นว่า หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นน่าจะรวมตัวกันถกคิดการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเพื่อให้สามารถผลิตวัสดุที่จะสอดคล้องกับปัจจัย 4 ที่กล่าวถึง อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และโรงพยาบาลในจังหวัด


ในส่วนของการศึกษานั้น ในขณะที่ฝ่ายรัฐมีภารกิจในการจัดการศึกษาให้กับประชาชน ศึกษาเล่าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 12 ปี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจะต่อยอดนโยบายดังกล่าวได้ด้วยการจัดให้มีวิทยาลัยชุมชน 2 ปี โดยผู้ศึกษาจบจะได้ระดับอนุปริญญา ซึ่งหมายความว่าถ้ามีความสามารถก็สามารถศึกษาต่ออีก 2 ปี ด้วยเงินทุนส่วนตัวจนจบปริญญาตรี แต่ถ้าหยุดอยู่แค่อนุปริญญาตรีก็หมายความว่าบุคคลผู้นั้นและลูกหลานของบุคคลผู้นั้นจะมีโอกาสศึกษาเล่าเรียน 14 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีก็น่าจะมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนเพื่อการประกอบอาชีพเพิ่มรายได้ และยกฐานะทางสังคมให้สูงขึ้นระบบการเมืองในอุดมคติและสังคมในอุดมคติโดยมีคุณลักษณะ 3 ข้อใหญ่ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะมีส่วนทำให้ความชั่วแฝดอันได้แก่ความเขลาและความจนหายไปจากสังคม และจะนำไปสู่การพัฒนาระบบการเมืองและสังคมซึ่งจะสอดคล้องกับระบบการเมืองในอุดมคติ และสังคมในอุดมคติตามที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น


สำหรับบทความนี้จะมีการเน้นหนักไปในทางข้อกฎหมายที่น่ารู้เกี่ยวกับสังคมของไทย

ถึงอาจจะดูน่าเบื่อแต่ผมก็ไม่ต้องการจะตัดทิ้ง เพราะผู้ที่ชอบในวิชาการอย่างท่านม่อนอาจจะต้องการทราบก็เป็นได้


อย่างไรก็ขอเชิญทุกท่านร่วมใจกันเม้นท์ด้วยนะครับ สวัสดี

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปรัชญาการเมืองการปกครองน่ารู้


สวัสดีครับทุกๆคน ก่อนอื่นคงต้องบอกก่อนเลยว่าไม่เคยทำบล็อกมาก่อนเลยจริงๆ
หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ


บล็อกนี้จะเป็นการนำเนื้อหาเชิงวิชาการเกี่ยวกับปรัชญาการเมืองการปกครองมานำเสนอในเชิงบอกเล่า
เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจ โดยจะ(พยายาม)แยกแยะเนื้อหาที่สรุปมาเป็นหมวดหมู่ที่สุด
อยากจะให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และท่านอาจารย์คอมเม้นท์ให้ด้วยนะคร้าบบบ
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูง

งั้นเรามาเริ่มเข้าเนื้อหากันเลยนะครับ
ก่อนอื่นก็เริ่มจากพูดถึง คำว่า ปรัชญาการเมืองก่อน


ปรัชญาการเมือง มีลักษณะเป็นแนวคิด ปรัชญา เป็นนามธรรม เป็นอุดมคติ อุดมการณ์ เป็นความพยายามที่จะรู้ธรรมชาติของสิ่งที่เป็นการเมือง และระเบียบทางการเมืองที่ถูกและดีพร้อมๆ กัน
ปรัชญาการเมืองจะตั้งคำถามว่าอะไรเป็นบ่อเกิดแห่งสังคมและสังคมมีจุดมุ่งหมายอย่างไร สังคมรวมกันอยู่โดยยึดหลักอะไร อะไรคือคุณประโยชน์หรือส่วนดีของการปกครอง การปกครองระบอบใดที่ดีที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนกับรัฐควรเป็นอย่างไร

ต่อจากนี้จะขอยกนักปรัชญาท่านหนึ่งมาพูดถึงนั่นก็คือ ท่านโซเครติสนะครับ ที่อยากยกท่านมาเพราะชอบเป็นการส่วนตัวอย่างเช่น คำที่ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้อยู่อย่างเดียวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้อะไรเลย”


โซเครตีส ถือว่าเป็นบิดาของปรัชญาการเมือง เพราะเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามว่า อะไรคือความดี อะไรคือความกล้าหาญ อะไรคือความยุติธรรม อันเป็นการโยงแนวคิดจากเรื่องธรรมชาติมาสู่มนุษย์
การแสวงหาธรรมชาติของความยุติธรรม และการตั้งคำถาม อื่นๆ ที่เกี่ยวโยงกับมนุษย์และชุมชนการเมือง นี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของปรัชญาการเมือง

ต่อไปคือท่านอริสโตเติ้ล ท่านนี้ถือเป็นบิดาของรัฐศาสตร์เลยทีเดียวนะครับ
อริสโตเติ้ล ถือว่าเป็นบิดาของรัฐศาสตร์ เพราะเป็นผู้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้กับงานเขียนรัฐศาสตร์ของเขา ซึ่งผมชอบมากทีเดียว

กลับมาที่ท่านโซเครติสนะครับ เพราะแนวคิดทางการเมืองเริ่มต้นด้วยโซเครติสผู้เริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า อะไรคือความดี ความกล้าหาญ ความยุติธรรม เป็นคำถามที่น่าสนใจมากว่าไหมครับทุกคน


การแสวงหาคำตอบของโซเครติสเกี่ยวกับธรรมชาติของความยุติธรรมหรือความดีและการตั้งคำถามอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ผู้เป็นปัจเจกชนกับรัฐ จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญาการเมืองโดยแท้


ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้


1. คำถามทางปรัชญาของท่านที่ว่าอะไรคือความดีและความยุติธรรมเป็นการชี้ให้เห็นถึงลักษณะสากล จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าความดีและความยุติธรรมมีธรรมชาติเป็นของตนเองเป็นอิสระจากความเห็นทั้งปวง
2. ในทางปฏิบัติคำถามของท่านพยายามที่จะก้าวออกไปให้พ้นจากขอบเขตของความเห็นทั้งปวง พร้อมทั้งชี้แนะถึงความคงอยู่ของระเบียบการเมืองที่ดีที่สุดที่เป็นสากล
3. แนวคิดของท่านกลายมาเป็นปรัชญาการเมืองเพราะมุ่งจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าและมุ่งจะรักษาสิ่งที่ดีเอาไว้ไม่ให้เลวลง ดังนั้นการกระทำทางการเมืองย่อมต้องมีความรู้ในสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวเป็นเครื่องนำทางเสมอ
4. ปรัชญาทางการเมืองของท่าน ถือว่าเป็นแนวคิดที่ใกล้ตัวมนุษย์มากที่สุด สามารถอธิบายจุดเริ่มต้นของปรัชญาการเมืองในส่วนสำคัญว่า ความพยายามที่จะทดแทนความเห็นในเรื่องธรรมชาติของการเมืองด้วยความรู้ในเรื่องธรรมชาติในสิ่งที่เป็นการเมืองรวมทั้งระเบียบทางการเมืองที่ถูกต้องด้วย


ครับผม...สำหรับครั้งนี้ก็จะขอจบไว้ที่ท่านโซเครติสเพียงเท่านี้ก่อน

ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องของ ประเภทของปรัชญาการเมือง ฯลฯ กันต่อไปนะครับ

ขอทุกท่านโปรดติดตาม...ตอนต่อไป


คำคมทิ้งท้าย "แม้ดอกไม้จะถูกทำลายลงไปสักกี่ครั้ง...แต่พวกเราก็ยังช่วยกันปลูกมันขึ้นมาใหม่ได้...อย่างแน่นอน" ชีวิตต้องสู้อย่าท้อนะครับทุกคน สวัสดีครับ จุ๊บๆ...